การสร้างคอนเทนต์ที่ "ขับเคลื่อนธุรกิจ" ได้จริง ตอนที่ 3 วัดผลคอนเทนต์ : "แกะรอย" ว่าคอนเทนต์ของคุณสร้างยอดขายหรือ Lead ได้จริงไหม

มา "แกะรอย" การวัดผลคอนเทนต์ กันค่ะ! สำคัญมากสำหรับคน รับทำSEO เพื่อดูว่าคอนเทนต์สร้างยอดขายและ Lead ได้จริงไหม ด้วย KPI เครื่องมือ และการวิเคราะห์ เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ทำไมการวัดผลคอนเทนต์ถึงเป็นสิ่งที่คุณมองข้ามไม่ได้?

ลองนึกภาพดูนะครับ ถ้าเราทำอาหารไปให้คนกิน แต่ไม่รู้เลยว่ารสชาติเป็นยังไง คนกินชอบไหม หรือกินแล้วอิ่มรึเปล่า เราก็คงไม่สามารถพัฒนาฝีมือให้ดีขึ้นได้จริงไหมครับ? การทำคอนเทนต์ก็เหมือนกันเลยครับ การลงทุนลงแรงสร้างคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทความ ทำวิดีโอ หรือ Infographic ถ้าเราไม่วัดผลว่ามันสร้าง Impact อะไรให้กับธุรกิจบ้าง เราก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรได้ผล อะไรไม่ได้ผล และที่สำคัญที่สุดคือ เราจะพลาดโอกาสในการปรับปรุงและพัฒนาคอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ รับทำSEO การวัดผลคือสิ่งจำเป็นที่จะบอกเราว่ากลยุทธ์ที่เราวางไว้ กำลังพาเราไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ และคอนเทนต์ที่เราสร้าง กำลังสร้างยอดขายหรือ Lead ได้จริงไหมครับ

มาดูกันครับว่าการวัดผลคอนเทนต์เพื่อ "แกะรอย" ประสิทธิภาพ และนำไปสู่การขับเคลื่อนธุรกิจ ต้องดูอะไรบ้าง

1. กำหนด KPI (Key Performance Indicators) ที่ชัดเจน

ก่อนจะเริ่มวัดผล เราต้องรู้ก่อนว่าเราจะวัดอะไร? KPI คือตัวชี้วัดสำคัญที่จะบอกว่าคอนเทนต์ของเราประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่เราวางไว้หรือไม่ครับ

  • ถ้าเป้าหมายคือ Brand Awareness (การรับรู้แบรนด์)
    • Page Views / Impressions : จำนวนครั้งที่คอนเทนต์ถูกเปิดดู หรือถูกแสดงผล
    • Unique Visitors : จำนวนผู้เข้าชมที่ไม่ซ้ำกัน
    • Social Shares / Mentions : จำนวนครั้งที่คอนเทนต์ถูกแชร์บนโซเชียลมีเดีย หรือถูกพูดถึง
  • ถ้าเป้าหมายคือ Engagement (การมีส่วนร่วม)
    • Time on Page / Dwell Time : ระยะเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนหน้าคอนเทนต์นั้น ๆ ถ้าอยู่นาน แสดงว่าเนื้อหาน่าสนใจ
    • Bounce Rate : อัตราการตีกลับ คือเปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมที่เข้ามาหน้าเดียวแล้วออกจากเว็บไซต์ไปเลย ถ้าต่ำแสดงว่าคอนเทนต์เราน่าสนใจพอที่จะให้เขาดูต่อ
    • Comments / Likes : จำนวนความคิดเห็น หรือการกดถูกใจบนคอนเทนต์นั้น ๆ
  • ถ้าเป้าหมายคือ Lead Generation (การสร้าง Lead)
    • Form Submissions : จำนวนครั้งที่มีคนกรอกฟอร์มติดต่อ หรือสมัครรับข่าวสาร
    • Download Counts : จำนวนครั้งที่มีคนดาวน์โหลด E-book, Whitepaper, หรือไฟล์อื่น ๆ ที่คุณนำเสนอ
    • Click-Through Rate (CTR) of CTA : อัตราการคลิกของปุ่ม Call-to-Action ในคอนเทนต์
  • ถ้าเป้าหมายคือ Sales/Conversion (ยอดขาย/การเปลี่ยนเป็นลูกค้า)
    • Conversion Rate : เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมที่ดำเนินการตามเป้าหมายที่เราต้องการ เช่น การซื้อสินค้า, การสมัครใช้บริการ
    • Revenue Generated : รายได้ที่เกิดขึ้นจากคอนเทนต์นั้น ๆ (อันนี้ต้องตั้งค่า E-commerce Tracking ใน Google Analytics)

การรู้ KPI ที่ชัดเจนนี้จะทำให้การ รับทำSEO ของเรามีทิศทางที่ถูกต้องด้วยครับ

2. ใช้เครื่องมือวัดผลให้เป็น (Utilize Analytics Tools)

เราไม่จำเป็นต้องมานั่งนับเองครับ มีเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้เราวัดผลได้อย่างแม่นยำ

  • Google Analytics: นี่คือเครื่องมือฟรีและทรงพลังที่สุดครับ สามารถดูข้อมูลได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่จำนวนผู้เข้าชม, พฤติกรรมการเข้าชม, ระยะเวลาที่อยู่บนหน้าเว็บ, ที่มาของผู้เข้าชม และสามารถตั้งค่าเป้าหมาย (Goals) เพื่อติดตาม Conversion ได้ด้วย

 

  • Google Search Console: เครื่องมือนี้สำคัญมากสำหรับการ รับทำSEO ครับ มันจะบอกเราว่าเว็บไซต์ของเราติดอันดับ Keyword อะไรบ้าง, มีคนคลิกเข้ามาเท่าไหร่, มีปัญหาทางเทคนิคอะไรไหม, และช่วยให้เราเข้าใจว่า Google มองเห็นเว็บไซต์ของเราอย่างไร

 

  • Social Media Insights: แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ เช่น Facebook, Instagram, TikTok มีเครื่องมือ Analytics ในตัว ที่จะบอกเราว่าคอนเทนต์ที่เราโพสต์ไปมีประสิทธิภาพแค่ไหน มี Reach, Engagement, หรือ Shares เท่าไหร่

 

  • CRM (Customer Relationship Management) Software: ถ้าคุณใช้ระบบ CRM ข้อมูล Lead ที่ได้จากคอนเทนต์จะถูกบันทึกไว้ในระบบ ทำให้คุณสามารถติดตามได้ว่า Lead ที่เข้ามาจากคอนเทนต์นั้น ๆ เปลี่ยนไปเป็นลูกค้าจริง ๆ ได้กี่ราย และสร้างรายได้เท่าไหร่
3. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (In-depth Data Analysis)

แค่ตัวเลขอย่างเดียวไม่พอครับ เราต้อง "แกะรอย" ให้ลึกกว่านั้น

  • ระบุคอนเทนต์ที่สร้างประสิทธิภาพสูงสุด : ดูว่าคอนเทนต์ประเภทไหน, หัวข้ออะไร, ความยาวเท่าไหร่ ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในแต่ละ KPI

 

  • หาจุดแข็งและจุดอ่อน : อะไรคือสิ่งที่คอนเทนต์ของเราทำได้ดีอยู่แล้ว และอะไรคือจุดที่เราต้องปรับปรุง

 

  • พฤติกรรมผู้ใช้ใน Customer Journey :
    • คอนเทนต์ในช่วง Awareness Stage มีคนเข้ามาดูเยอะไหม? มีการแชร์เยอะไหม?
    • คอนเทนต์ในช่วง Consideration Stage มีคนใช้เวลาอยู่นานไหม? มีการคลิกไปยังหน้าสินค้า/บริการไหม?
    • คอนเทนต์ในช่วง Decision Stage มีคนกรอกฟอร์ม หรือซื้อสินค้า/บริการ มากน้อยแค่ไหน?

 

  • ระบุช่องทางที่มีประสิทธิภาพ : คอนเทนต์ของเราถูกค้นพบจากช่องทางไหนมากที่สุด (เช่น Organic Search, Social Media, Referral) และช่องทางไหนที่นำไปสู่ Conversion ได้ดีที่สุด สิ่งนี้จะช่วยให้เราตัดสินใจว่าควรทุ่มเททรัพยากรไปกับช่องทางไหน

 

  • วิเคราะห์ Funnel Conversion : ดูว่าผู้ใช้งานเดินทางผ่านแต่ละขั้นตอนของ Sales Funnel อย่างไร คอนเทนต์ในแต่ละช่วงมีส่วนช่วยผลักดันให้เขาไปต่อใน Funnel ได้มากน้อยแค่ไหน
4. ปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement)

การวัดผลไม่ได้มีไว้แค่ดูตัวเลขนะครับ แต่มีไว้เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น

  • A/B Testing : ลองเปลี่ยนหัวข้อ (Headline), รูปภาพ, ปุ่ม Call-to-Action หรือแม้แต่รูปแบบการจัดวางคอนเทนต์ เพื่อดูว่าแบบไหนที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

 

  • Optimize เนื้อหาเก่า : คอนเทนต์เก่า ๆ ที่เคยเผยแพร่ไปแล้ว ถ้ายังสร้าง Traffic ได้ดี แต่ Conversion ยังไม่สูงพอ อาจจะต้องกลับไปปรับปรุงเนื้อหา, เพิ่ม CTA, หรืออัปเดตข้อมูลให้ทันสมัยและน่าสนใจมากขึ้น

 

  • สร้างคอนเทนต์ใหม่จาก Insight ที่ได้ : เมื่อเราเห็นแล้วว่าคอนเทนต์ประเภทไหนที่ได้ผลดี หรือ Keyword ไหนที่ยังขาดอยู่ เราก็สามารถสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายและมีโอกาสสร้าง Conversion ได้สูงขึ้น

 

  • ปรับกลยุทธ์ SEO : ข้อมูลจากการวัดผลจะช่วยให้เราปรับกลยุทธ์การ รับทำSEO ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเน้น Keyword บางตัว หรือการปรับโครงสร้างเว็บไซต์
สรุป : การวัดผลคือเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนคอนเทนต์ให้ประสบความสำเร็จ

การวัดผลคอนเทนต์คือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถ "แกะรอย" และทำความเข้าใจประสิทธิภาพของคอนเทนต์ได้อย่างแท้จริงครับ ไม่ใช่แค่การสร้างคอนเทนต์ไปเรื่อย ๆ แต่คือการสร้างคอนเทนต์อย่างมีกลยุทธ์ และนำข้อมูลจากการวัดผลมาปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกชิ้นงานที่เราลงทุนลงแรงไป สามารถสร้างยอดขาย สร้าง Lead และช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของคุณให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และทำให้คุณเห็นภาพความสำคัญของการวัดผลคอนเทนต์ได้ชัดเจนขึ้นนะครับ